การพัฒนายุคต้น ๆ ของ เอ็นแอลพี

ตามแบนด์เลอร์กับกรินเดอร์ เอ็นแอลพีประกอบด้วยวิธีซึ่งเรียกว่า modeling (การจำลองแบบ/การเลียนแบบ) บวกกับเทคนิคจำนวนหนึ่งซึ่งได้มาจากการประยุกต์ใช้วิธีนั้นในยุคต้น ๆ[15][16]บรรดาวิธีอื่น ๆ ที่เป็นหลักได้มาจากผลงานของนักครอบครัวบำบัดชาวอเมริกันเวอร์จิเนีย แซเทียร์ (Virginia Satir), จิตแพทย์นักสะกดจิตและนักครอบครัวบำบัดชาวอเมริกันมิลตัน เอริกสัน (Milton Erickson) และจิตแพทย์นักจิตบำบัดชาวเยอรมันฟริตซ์ เพอร์ลส (Fritz Perls)[17]

แบนด์เลอร์กับกรินเดอร์ยังใช้ทฤษฎีของนักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษเกร็กอรี เบตสัน (Gregory Bateson), นักอรรถศาสตร์ชายโปแลนด์-อเมริกัน Alfred Korzybski และนักภาษาศาสตร์โนม ชอมสกี (โดยเฉพาะทฤษฎี transformational grammar ที่เริ่มมาจากไอเดียของชอมสกี)[15][18][19]ตลอดจนไอเดียและเทคนิคของนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันคาร์โลส แคสทาเนดา (Carlos Castaneda)[20]

แบนด์เลอร์กับกรินเดอร์อ้างว่า วิธีนี้สามารถจัดระเบียบ (codify) โครงสร้างวิธีการบำบัดของเพอร์ลส แซเทียร์ และเอริกสัน และจริง ๆ สามารถจัดระเบียบโครงสร้างกิจกรรมซับซ้อนของมนุษย์ทุกอย่าง เมื่อได้จัดระเบียบแล้ว บุคคลอื่นก็จะสามารถเรียนรู้โครงสร้างและกิจกรรมเหล่านั้นได้หนังสือปี 1975 ของพวกเขาคือ The Structure of Magic I: A Book about Language and Therapy (โครงสร้างแมจิก 1 - หนังสือเกี่ยวกับภาษาและการบำบัด) มุ่งหมายจัดระเบียบเทคนิคบำบัดของเพอร์ลสและแซเทียร์[15]

แบนด์เลอร์กับกรินเดอร์กล่าวว่า ได้ใช้วิธีการจำลองแบบ (modeling) ของตนเพื่อจำลองรูปแบบของเวอร์จิเนีย แซเทียร์ แล้วสร้างสิ่งที่เขาเรียกว่า เมตะโมเดล (Meta-Model) เป็นรูปแบบเพื่อใช้รวบรวมข้อมูลแล้วท้าทายการใช้ภาษาและกระบวนการความคิดของผู้รับฝึก[15][21]พวกเขาอ้างว่า เมื่อท้าทายความบิดเบือนทางภาษา ระบุการกล่าวรวมพวกกันเกินไป และกู้ข้อมูลที่หายไปจากคำพูดของผู้รับฝึก แนวคิดของ transformational grammar เกี่ยวกับโครงสร้างตื้น (surface structure) ก็จะให้ผลลัพธ์เป็นแบบจำลองที่แสดงโครงสร้างลึก (deep structure) ซึ่งสมบูรณ์ยิ่งกว่า การบำบัดจึงได้ผล[22][23]ไอเดียอื่น ๆ จากแซเทียร์รวมทั้ง anchoring, future pacing และ representational systems[24]

เทียบกับโมเดลของมิลตัน ซึ่งพวกเขาจัดเป็นการใช้ภาษาแบบสะกดจิต และเรียกว่า เป็นภาษาคลุมเครืออย่างชาญฉลาด เป็นการใช้อุปมา[25]โมเดลของมิลตันใช้ร่วมกับเมตะโมเดลเพื่อให้ใจให้อ่อนลง (softener) เพื่อก่อภาวะเคลิ้ม (trance) เพื่อให้คำแนะนำในการบำบัดอย่างอ้อม ๆ[26]

แต่นักภาษาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย-อเมริกันผู้มีวิมตินิยมแคเร็น สโตลส์นาว (Karen Stollznow) เรียกการอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญของแบนด์เลอร์กับกรินเดอร์ว่า เป็นเพียงแต่การอ้างชื่อ (ให้น่าเชื่อถือ)เพราะนอกจากแซเทียร์เองแล้ว บุคคลอื่น ๆ ที่พวกเขาอ้างว่ามีอิทธิพลต่อแนวคิดก็ไม่ได้ทำงานร่วมกับพวกเขาเช่น ชอมสกีไม่มีส่วนร่วมกับเอ็นแอลพีโดยสิ้นเชิงงานดั้งเดิมของชอมสกีก็มุ่งแสดงทฤษฎีทางภาษาศาสตร์ ไม่ใช่การบำบัดสโตลส์นาวได้เขียนในวารสาร Skeptic (นักวิมตินิยม) ปี 2010 ไว้ว่า "นอกเหนือการยืมใช้คำ เอ็นแอลพีไม่มีความคล้ายคลึงกันที่น่าเชื่อถือกับทฤษฎีหรือปรัชญาของชอมสกี ไม่ว่าจะเป็นทางภาษา ทางประชาน หรือทางการเมือง"[18]

ตามผู้เชี่ยวชาญเรื่องสะกดจิตชาวฝรั่งเศส-อเมริกันแอนเดร มิวล์เลอร์ ไวเซ็นฮ็อฟเฟอร์ (André Muller Weitzenhoffer)[upper-alpha 1]"จุดอ่อนหลักของการวิเคราะห์ภาษาของแบนด์เลอร์กับกรินเดอร์ ก็คือโดยมากมันอาศัยสมมติฐานที่ไม่ได้ตรวจสอบและสนับสนุนด้วยข้อมูลที่ไม่พอเพียงโดยสิ้นเชิง"[28]เขายังเพิ่มด้วยว่า แบนด์เลอร์กับกรินเดอร์ใช้หลักการของตรรกศาสตร์รูปนัย (formal logic) และของคณิตศาสตร์อย่างผิด ๆ[29], เปลี่ยนนิยามหรือเข้าใจผิดซึ่งคำที่มาจากคลังศัพท์ของภาษาศาสตร์ (เช่น nominalization)[30],แต่งหน้าเป็นวิทยาศาสตร์โดยทำแนวคิดของเอริกสันให้ซับซ้อนอย่างไม่จำเป็นด้วยข้ออ้างที่ไม่มีหลักฐาน[31],แสดงสิ่งที่ผิดพลาดจากความจริง[32]และไม่คำนึงถึงหรือทำให้สับสนซึ่งแนวคิดที่เป็นหลักของเอริกสัน[33]

ต่อจากนั้นราวปี 1997 แบนด์เลอร์จึงได้อ้างว่า "เอ็นแอลพีมาจากการสืบหาว่าอะไรได้ผลแล้วทำให้เป็นระเบียบแบบแผนเพื่อทำรูปแบบ (pattern) ต่าง ๆ ให้เป็นแบบแผน ผมได้ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มตั้งแต่ภาษาศาสตร์ตลอดจนฮอโลกราฟี...แบบจำลอง (model) ที่เป็นส่วนของเอ็นแอลพีล้วนเป็นแบบจำลองทางรูปนัยอาศัยหลักคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์ เช่น แคลคูลัสภาคแสดง (predicate calculus) และสมการที่เป็นหลักของฮอโลกราฟี"[34]แต่ประวัติการพัฒนาของเอ็นแอลพีที่นักเขียนอื่น ๆ ได้กล่าวถึงรวมทั้งกรินเดอร์เอง[35] (รวมของ McClendon[36] และ Spitzer[24])ก็ไม่กล่าวถึงหลักคณิตศาสตร์ของฮอโลกราฟี หรือแม้แต่ฮอโลกราฟีโดยทั่ว ๆ ไปเลย

ในเรื่องพัฒนาการของเอ็นแอลพี กรินเดอร์ระลึกถึงว่า[37]

สิ่งที่ผมจำได้เกี่ยวกับสิ่งที่เราคิดเมื่อได้ค้นพบ (เกี่ยวกับการจัดระเบียบ [code] คลาสสิกที่เราได้พัฒนาขึ้น ซึ่งเกิดในระหว่างปี 1973-1978) ก็คือเรารู้อย่างชัดเจนว่า เรากำลังพยายามล้มล้างแบบแผน (paradigm) อย่างหนึ่ง และตัวผมเองก็พบว่ามันมีประโยชน์ที่จะวางแผนการรณรงค์นี้ส่วนหนึ่งโดยใช้ผลงานชิ้นเยี่ยมของโทมัส คูน (The Structure of Scientific Revolutions) เป็นแนวทาง ที่เขาได้ให้รายละเอียดปัจจัยบางอย่างที่เกิดในช่วงการเปลี่ยนแบบแผนที่สำคัญ (paradigm shift) เช่น ผมเชื่อว่ามันมีประโยชน์มากที่เราทั้งสองคนไม่มีคุณวุฒิในสาขาที่เราพยายามเปลี่ยน คือจิตวิทยา โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้ในการบำบัด ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่คูนระบุในงานศึกษาการเปลี่ยนแบบแผนที่สำคัญอิงประวัติศาสตร์

นักปรัชญาชาวอเมริกันผู้มีวิมตินิยมรอเบิร์ต ท็อดด์ แคร์โรลได้แก้ว่า กรินเดอร์ไม่เข้าใจหนังสือของคูนในเรื่องประวัติและหลักปรัชญาของวิทยาศาสตร์ คือ The Structure of Scientific Revolutionsคือแก้ว่า (1) นักวิทยาศาสตร์เดี่ยว ๆ ไม่เคยและไม่มีทางก่อ "การเปลี่ยนแบบแผนที่สำคัญ" (paradigm shift) อย่างตั้งใจ และคูนก็ไม่ได้แสดงนัยอะไรเหนือจากนี้(2) หนังสือของคูณไม่ได้มีไอเดียว่า การไร้คุณวุฒิในสาขาวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องมีก่อนเพื่อให้ได้ผลที่ก่อ "การเปลี่ยนแบบแผนที่สำคัญ" อย่างเลี่ยงไม่ได้ในสาขานั้น ๆและ (3) The Structure of Scientific Revolutions โดยหลักเป็นผลงานทาง "ประวัติศาสตร์" ไม่ใช่หนังสือสอน "สร้าง" การเปลี่ยนแบบแผนที่สำคัญและหนังสือเยี่ยงนี้ก็มีไม่ได้ เพราะการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่กระบวนการที่มีสูตรแคร์โรลอธิบายว่า การเปลี่ยนแบบแผนที่สำคัญไม่ใช่กิจกรรมที่วางแผน แต่เป็นผลลัพธ์ของงานทางวิทยาศาสตร์ในแบบแผนปัจจุบัน (ที่เป็นหลัก) แล้วสร้างข้อมูลที่แบบแผนปัจจุบันไม่สามารถอธิบายได้ดีพอ ดังนั้น จึงเกิด "การเปลี่ยนแบบแผนที่สำคัญ" คือการยอมรับแบบแผนใหม่

เมื่อพัฒนาเอ็นแอลพี แบนด์เลอร์กับกรินเดอร์ไม่ได้ทำตอบสนองต่อปัญหาวิกฤติทางแบบแผนของจิตวิทยา และก็ไม่ได้สร้างข้อมูลที่สร้างปัญหาวิกฤติไม่มีเหตุผลว่าพวกเขาเป็นเหตุหรือมีส่วนร่วมก่อการเปลี่ยนแบบแผนที่สำคัญแคร์โรลแย้งว่า "กรินเดอร์กับแบนด์เลอร์ได้ทำอะไรที่ทำให้ดำเนินการทางจิตวิทยาต่อไปไม่ได้โดยไม่ใช้แนวความคิดของพวกเขาหรือไม่ ? ไม่ได้ทำอะไรเลย"[38]

การทำเป็นธุรกิจและการตรวจสอบ

ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 ขบวนการศักยภาพมนุษย์ (human potential movement)[upper-alpha 2]ศูนย์หลักของขบวนการนี้ก็คือสถาบันเอซาเล็น (Esalen Institute) ในเมืองบิ๊กเซอร์ รัฐแคลิฟอร์เนียเพอร์ลสได้ทำสัมมนาเกี่ยวกับ Gestalt therapy เป็นจำนวนมากที่สถาบันแซเทียร์เป็นผู้นำตั้งแต่ยุคต้น ๆ และเบตสันเป็นครูพิเศษแบนด์เลอร์กับกรินเดอร์อ้างว่า นอกจากเป็นวิธีบำบัด เอ็นแอลพียังเป็นการศึกษาการสื่อสาร แล้วเริ่มวางตลาดมันเป็นเครื่องมือทางธุรกิจ โดยอ้างว่า "ถ้ามนุษย์แต่ละคนทำอะไรก็ได้ คุณก็ทำได้เช่นกัน"[21]หลังจากเริ่มได้นักเรียน 150 คนที่จ่ายค่าธรรมเนียมคนละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับการสัมมนา 10 วันในเมืองซานตาครูซ รัฐแคลิฟอร์เนีย พวกเขาก็เลิกทำงานเขียนเชิงวิชาการแล้วเขียนหนังสือประชานิยมอาศัยข้อความจากงานสัมมนา เช่น หนังสือ Frogs into Princes (จากกบไปสู่เจ้าชาย) ซึ่งขายได้เกิน 270,000 เล่มตามเอกสารของศาลเรื่องข้อพิพาททางทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างแบนด์เลอร์กับกรินเดอร์ แบนด์เลอร์ได้รายได้เกินกว่า 800,000 ดอลลาร์สหรัฐฺ (ประมาณ 20 ล้านบาท) ในปี 1980 จากการจัดสัมมนาและขายหนังสือ[21]

ชุมชนนักจิตบำบัดและลูกศิษย์ก็เริ่มเกาะเป็นกลุ่มเนื่องกับงานเบื้องต้นของแบนด์เลอร์กับกรินเดอร์ ทำให้เอ็นแอลพีขยายกระจายตัวทั้งโดยทฤษฎีและข้อปฏิบัติ[40]ยกตัวอย่างเช่น โทนี่ ร็อบบินส์ (โค้ชมหาเศรษฐีผู้หนึ่ง) ได้ฝึกกับกรินเดอร์แล้วใช้ไอเดียไม่กี่อย่างจากเอ็นแอลพีเป็นส่วนโปรแกรมการช่วยตนเองและปาฐกถาสร้างแรงจูงใจของตน[41]แบนด์เลอร์ได้พยายามหลายครั้งไม่ให้พวกอื่น ๆ ใช้เอ็นแอลพี[42]ในขณะเดียวกัน จำนวนผู้ประกอบกิจด้วยวิธีนี้และนักทฤษฎีที่เพิ่มขึ้นได้ทำให้เอ็นแอลพีเริ่มต่าง ๆ กันจากจุดเริ่มต้น[18]ก่อนเอ็นแอลพีจะเสื่อมความนิยม นักวิทยาศาสตร์ได้เริ่มตรวจสอบทฤษฎีหลัก ๆ ของวิธีโดยใช้หลักฐานเชิงประสบการณ์ แล้วพบว่าไม่มีหลักฐานสนับสนุน[13]ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 จึงมีงานศึกษาทางวิทยาศาสตร์ตรวจสอบวิธีการของเอ็นแอลพีน้อยลงเทียบกับทศวรรษก่อน ๆนักจิตวิทยาผู้มีวิมตินิยม โทมาสซ์ วิตคาวสกี้ ระบุว่าความสนใจในการอภิปรายได้น้อยลงเพราะไม่มีหลักฐานสนับสนุนเอ็นแอลพีแม้จากผู้สนับสนุนวิธีเอง[13]

แหล่งที่มา

WikiPedia: เอ็นแอลพี http://63.197.255.150/openaccesspublic/civil/caser... http://63.197.255.150/openaccesspublic/civil/caser... http://www.inspiritive.com.au/grinterv.htm http://users.telenet.be/merlevede/lawsuit.htm http://users.telenet.be/merlevede/nlpfaq35.htm http://altcommtechniques.com/publications/why_they... http://www.american-buddha.com/bandler.method.html... http://ebmh.bmj.com/content/early/2013/05/29/eb-20... http://www.chris-nlp-hall.com/galleries/docs/Summa... http://www.mheap.com/nlp1.pdf